วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

Task Manager (Windows 10, 8)


    Task Manager ช่วยให้คุณสามารถเรียกดูรายการโปรแกรมที่เรียกใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูลประสิทธิภาพและทรัพยากรที่ใช้สำหรับโปรแกรมหรือบัญชี ผู้ใช้ในระบบใช้เอกสารนี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Windows Task Manager เช่น การเปิดดูและปิดโปรแกรม การตรวจสอบการใช้งานโปรเซสเซอร์และหน่วยความจำ การดูปริมาณข้อมูลที่ส่งและรับผ่านเครือข่ายกราฟิกและข้อมูลในเอกสารชุดนี้อาจแตกต่างกันไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับ Windows เวอร์ชั่นที่คุณใช้
วิธีเปิด Windows 8 Task Manager
วิธีเปิด Windows 8 Task Manager ทำได้กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del จากนั้นคลิก Task Manager ดังภาพหรือจากหน้าเดสก์ท็อปให้คลิกขวาบนทาสก์บาร์จากนั้นคลิก Task Manager ดังภาพ จะได้หน้าต่าง Task Manager
ทิป: สามารถเปิด Windows 8 Task Manager ได้โดยการกดปุ่ม Windows + R จากนั้นพิมพ์ taskmgr.exe ในช่อง Open เสร็จแล้วกด Enter





Windows 8 Task Manager สามารถแแสดงผลได้ 2 โหมด คือ Few details ซึ่งเป็นโหมดเริ่มต้นและ More Details โดยโหมด Few details เป็นโหมดกระทัดรัดที่แสดงข้อมูลเฉพาะรายชื่อ Windows 8 App ที่รันจากหน้า Start ของ Windows 8 และแอพพลิเคชันที่รันจากเดสก์ท็อปดัง
ตัวจัดการงาน


ส่วนโหมด More Details จะแสดงเมนูคำสั่ง File, Options และ View และแท็บจำนวน 7 แท็บ คือ Processes, Performance, App history, Startup, Users, Details และ Services ดังภาพที่ 4 การสวิตช์ระหว่างโหมด Few details และ More Details ทำได้โดยการคลิก More Details ในภาพที่ 3 หรือ Few details

แท็บ Task Manager Processes (กระบวนการของ Task Manager)


1. Process:
แท็บ Process ในโหมด More Details จะแสดงรายชื่อโปรแกรมที่กำลังรัน, โปรเซสและการใช้ซีพียู, ข้อมูลการใช้งานหน่วยความจำ, ข้อมูลและสถิติการใช้งานระบบเครือข่าย, ผู้ใช้ที่กำลังล็อกอิน และ System Services

Windows 8 Task Manager จะทำการแสดงโปรเซสพร้อมกับการไฮไลท์ปริมาณการใช้ทรัพยากรของแต่ละโปรเซส โดยสีที่เข้มกว่าแสดงว่ามีการใช้ทรัพยากรมากกว่าสีที่่อนกว่าซึ่งจะช่วยให้ สังเกตุเห็นความแตกต่างได้ง่ายและชัดเจนขึ้น ทั้งนี้สามารถเรียงลำดับปริมาณการใช้งานจากได้โดยการคลิกเม้าส์บนชื่อ คอลัมน์ เช่น Memory เป็นต้น

แสดงโปรเซสเป็นกลุ่มตาม Apps
Task Manager ของ Windows รุ่นก่อนหน้า Windows 8 จะแสดงแท็บโปรเซสแบบราบ (Flat) ตัวอย่างเช่น ถ้าเปิดโปรแกรม Internet Explorer จำนวน 5 แท็บ Task Manager จะแสดงทั้ง 5 โปรเซสแยกอิสระจากกัน แต่ใน Windows 8 Task Manager จะแสดงโปรเซสของแอพพลิเคชันเป็นกลุ่มแบบลำดับชั้น


แท็บ Task Manager Processes (กระบวนการของ Task Manager)


ภาพที่ 5


สนับสนุนการจัดกลุ่มโปรเซสตาม Apps, Background และ Windows
Windows 8 Task Manager จะสามารถทำการแบ่งการแสดงโปรเซสออกเป็น 3 กลุ่ม คือ Apps , Background processes และ Windows processes ซึ่งจะทำให้หาและหยุดโปรเซสที่ต้องการได้ง่ายขึ้น การแสดงโปรเซสเป็นกลุ่มนี้จะถูกเปิดใช้งานโดยเริ่มต้น วิธีการปิดแสดงโปรเซสเป็นกลุ่มทำได้โดยการคลิกเมนูView แล้วคลิกลบเครื่องหมายถูกหน้า Group by type
Windows 8 Task Manager จะแสดงรายชื่อกลุ่มของเซอร์วิสทั้งหมดตามโปรเซสด้วยชื่อที่อ่านเข้าใจแทนการ แสดงรายชื่อไฟล์เหมือนใน Windows รุ่นก่อนหน้า ซึ่งช่วยให้สามารถทราบปริมาณการใช้ทรัพยากรของกลุ่มเซอร์วิสแต่ละกลุ่มได้ใน ทันที

ค้นข้อมูลของโปรเซสจากอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง
Windows 8 Task Manager จะสามารถทำการค้นข้อมูลของโปรเซสจากอินเทอร์เน็ตได้โดยการคลิกขวาบนโปรเซส ที่ต้องการจากนั้นเลือกคำสั่ง Search online


2. Performance Tab
แท็บ Performance แสดงกราฟเส้นแบบไดนามิกซึ่งแสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับ CPU, Memory, Disk และ Network (Ethernet/Wifi) สำหรับการใช้งานนั้นให้คลิกเม้าส์บนหัวข้อที่ต้องการจากคอลัมน์ด้านซ้ายมือ ของหน้าต่าง Task Manager เช่น CPU เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีลิงก์สำหรับใช้เปิด Resource Monitor อีกด้วย

CPU: แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับซีพียู ได้แก่ รุ่นซีพียู, % Utilization, Process, Threads, Handles และ Up time

แท็บ Task Manager Performance (ประสิทธิภาพ)


Memory: แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยความจำ ได้แก่ Memory usage, Memory composition, In use, available, committed, cached, paged pool และ non-paged pool
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ task manager memory

Disk: แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับดิสก์ ได้แก่ Active time, Disk transfer rate, Active time, Average respone time, Capacity, Formatted, System disk, Page file, Read speed และ Write speed
 ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ task manager  disk


Network (Ethernet/Wifi): แสดงรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับระบบเครือข่าย ได้แก่ Throughput, Adapter name, DNS Name, Connection type, IPv4 address, IPv6 Address, Send และ Receive

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ task manager  network


Resource Monitor ยิ่งกว่าความเป็น Task Manager
หากสิ่งที่แนะนำไปเบื้องต้นยังไม่สามารถหาตัวการได้ คงต้องหาแบบละเอียดมากขึ้นครับ ต่อเนื่องจากที่เราได้ทำไว้ในขั้นตอนที่แล้ว คราวนี้ผมอยากให้ทุกคนคลิกไปที่แท็บ Performance ครับ ซึ่งหน้านี้จะเป็นหน้าที่บ่งบอกการทำงานด้านต่างๆ ของตัวเครื่อง ทั้ง CPU, Memory, Disk และ Network โดยแสดงเป็นกราฟอย่างสวยงาม (ยิ่งใน Windows 8 จะสวยขึ้นอีก)
200
201

1. วิธีการเรียก Resource Monitor ออกมาใช้งานนั้น หลังจากอยู่ที่แท็บ Performance แล้ว ให้คลิกที่ Open Resource Monitor ที่อยู่ด้านล่างของหน้าต่าง

202

2. หน้าต่าง Resource Monitor จะปรากฏขึ้นมา โดยเป็นข้อมูลที่คุณอาจจะดูไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แต่อธิบายง่ายๆ ดังนี้ว่า มีการแบ่งทรัพยากรในเครื่องออกเป็น 4 ส่วน คือ CPU, Disk, Network และ Memory ซึ่งจะมีบอกระดับการถูกใช้งานอยู่ และเมื่อคลิกเปิดดูรายละเอียดในแต่ละส่วนก็จะมีรายละเอียดเพิ่มขี้นมาอีก

203

3. ในส่วนของ CPU นั้นจะคล้ายกับๆ ส่วนของ Performance ใน Task Manager นั่นแหละครับ ดังนั้นถ้าใน Task Manager ดูแล้วว่า CPU ถูกใช้งานไปเท่าไหร่ ในนี้ก็มักจะถูกใช้งานไปเท่านั้นเหมือนกัน ถ้าเครื่องจะอืดก็เพราะ CPU ถูกใช้งานไปเยอะ เช่นเกิน 80% เกือบตลอดเวลา คงต้องมาดูกันว่า Process ไหนกินซีพียูมากที่สุด

204

4. ในส่วนของ Disk มีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะมีเรื่องของปริมาณข้อมูลที่ถูกอ่านเขียน ซึ่งถ้าค่า Disk I/O ที่มีหน่วยเป็น Byte/sec (สีเขียว) ซึ่งถ้าเยอะก็แปลว่า Disk ทำงานหนักหรืองานล้นมือจนเครื่องอืด แต่บ่อยครั้งที่มีการถ่ายโอนข้อมูลไม่เยอะ แต่ “ถี่” เช่นมีโปรแกรมบางตัวเขียนโปรแกรมทีละ 1 Byte ล้านครั้งต่อวินาที ซึ่งคิดออกมาก็เป็นข้อมูลแค่ 1MB เท่านั้น แต่การเขียนข้อมูลล้านครั้งทำให้ Disk ทำงานหนักและเกิดงานล้นมือได้เหมือนกัน ซึ่งจุดนี้จะแสดงให้เห็นที่กราฟสีฟ้า หรือ Active Time นั่นเอง

205

5. ส่วน Network นั้นแทบจะไม่เป็นสาเหตุของเครื่องอืด แต่เน็ตอืดมากกว่า และส่วนสุดท้ายคือ Memory คือต้องดู Physical Memory (กราฟสีฟ้า) หรือแรม ซึ่งถ้าถูกใช้งานเกิด 80-90% แสดงว่าแรมถูกใช้งานไปจนหมดและกำลังเกิดการใช้ Virtual Memory ทดแทน ทำให้ภาระหนักตกไปอยู่กับ Disk เหมือนเดิม ซึ่งคุณจะได้เห็นได้เลยจากข้อ 4 ที่พูดไปแล้วนั่นเอง
คราวนี้ก็คงทราบวิธีการดูแล้วใช่ไหมครับว่า ตัวการที่ทำให้เครื่องของเราอืดนั้นคืออะไร?

3. App history
แท็บ App history เป็นแท็บใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาใน Windows 8 Task Manager  App history จะแสดงรายชื่อแอพพลิเคชันที่ถูกเปิดในระหว่างเซสชั่น ดังนั้นจึงสามารถสวิตช์ไปยังแอพพลิเคชันใดๆ ที่มีการใช้งานก่อนหน้าเพื่อดูปริมาณการใช้ซีพียูและเครือข่ายได้


sshot-10

4. Startup
แท็บ Startup จะแสดงรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ที่เริ่มต้นทำงานโดยอัตโนมัติพร้อมกับระบบ Windows  ในกรณีที่ต้องการปิดไม่ให้โปรแกรมทำงานโดยอัตโนมัติทำได้โดยการคลิกขวาบน โปรแกรมที่ต้องการจากนั้นเลือก Disable นอกจากนี้ยังสามารถค้นหน้าข้อมูลของโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย

แท็บ Task Manager Startup (เริ่มการทำงานของตัวจัดการงาน)

5. Users
แท็บ Users จะแสดงรายชื่อผู้ใช้ที่กำลังไซน์อินเข้าระบบ Windows พร้อมทั้งข้อมูลการใช้งาน CPU, Memory, Disk และ Network  และเมื่อทำการคลิกขวาบนชื่อผู้ใช้จะมีคำสั่ง Manage users a accounts สำหรับเปิดหน้า User Management เพื่อจัดการบัญชีผู้ใช้ดัง
sshot-13
6. Details
แท็บ Details จะแสดงรายชื่อโปรเซสทั้งหมดของระบบและผู้ใช้ทุกคนพร้อมทั้งข้อมูลหมายเลข Process ID, Status, User name, CPU, Memory และ Description เมื่อทำการคลิกขวาบนโปรเซสจะปรากฏคำสั่งให้เลือกใช้งาน เช่น End task, End process tree, Set priority และ Set affinity เป็นต้น และยังสามารถค้นหน้าข้อมูลของโปรเซสจากอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย


sshot-14

7. Services
แท็บ Services จะแสดงรายชื่อเซอร์วิสทั้งหมดของ Windows ทั้งที่แอคทีฟและไม่แอคทีฟ พร้อมทั้งแสดงหมายเลข Process ID, Description, Status และ Group เมื่อทำการคลิกขวาบนเซอร์วิสจะปรากฏคำสั่ง 6 คำสั่งสำหรับใช้ควบคุมเซอร์วิสดัง และยังสามารถสวิตช์ไปยังแท็บ Services หรือค้นหาข้อมูลของเซอร์วิสจากอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย


สรุป Windows 8 Task Manager:
Windows 8 Task Manager มีคุณลักษณะใหม่ที่มีประโยชน์และช่วยให้การวิเคราะห์สุขภาพและประสิทธิภาพ ของระบบ Windows ทำได้รวดเร็วและง่ายขึ้น การค้นหาข้อมูลของโปรเซสจากอินเทอร์เน็ตทำได้ง่ายขึ้น และ App History ช่วยให้ผู้ใช้ขั้นสูงสามารถระบุสาเหตุและแก้ไขปัญหาทั้งแบบ livelocks และ deadlocks ได้เร็วขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบเสียหาย

**เพิ่มเติม
svchost
 “svchost.exe” หรือชื่อเต็มๆของมันคือ “Generic Host Process for Win32 Services” (svchost.exe ที่ย่อมาจาก Service Host ของ Microsoft)ซึ่งเป็นส่วนของ System process อีกตัวหนึ่ง ในระบบปฏิบัติการ Windows เมื่อมันถูกสั่งให้รันหรือทำงานโดย Windows ผู้ใช้งานไม่สามารถทำการหยุด, terminate,end process หรือ restart ได้ แต่ถ้าเราเผลอไป end proces ก็จะทำให้เครื่องของเราทำงานผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Network ตำแหน่งที่อยู่ของ svchost.exe จะอยู่ที่ “%windir%\System32" หรือทั่วๆไป ก็คือ “C:\Windows\System32" หาก ไม่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว สรุปได้เลยว่าเป็นไวรัส

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ _svchost

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 5

บทที่ 5 การติดตั้งระบบปฏิบัติการ
1.ซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ (proprietary software)
       คือ ซอฟต์แวร์ที่สิทธิ์ในการใช้งานและทำซ้ำถูกจำกัดหรือสงวนสิทธิ์ไว้โดยเจ้าของซอฟต์แวร์หรือผู้จัดทำ ผู้อื่นไม่สามารถนำมาใช้งานหรือทำซ้ำได้นอกจากได้รับอนุญาตในสิทธิ์นั้นจากเจ้าของ. proprietary software อาจไม่ได้เป็น ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เสมอไป, แต่โดยมากแล้ว เจ้าของซอฟต์แวร์มักจะใช้กลไกของระบบกฎหมายลิขสิทธิ์ในปัจจุบัน เพื่อเป็นเครื่องมือในการสงวนสิทธิ์ของตนเองไว้, ทำให้ซอฟต์แวร์กลายเป็น proprietary software. ตัวอย่างของ proprietary software ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ หรือ อะโดบี โฟโตชอป
คำว่า "โพรไพรเอทารีซอฟต์แวร์" เป็นคำจำกัดความที่ทางมูลนิธิซอฟต์แวร์เสรี (Free Software Foundation, FSF) ได้สร้างขึ้นเพื่อใช้อธิบายถึงซอฟต์แวร์ที่ไม่ใช่ซอฟต์แวร์เสรี เพื่อ ไว้เรียกเปรียบเทียบกับ ซอฟต์แวร์เสรี หรือ ซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ผู้อื่นใช้งาน แจกจ่าย และ ดัดแปลงแก้ไขได้

2.ซอฟต์แวร์ระบบเปิด
       กรุงเทพธุรกิจ - หน่วยงานของรัฐ คือ ตัวกำหนดมาตรฐานการใช้ซอฟต์แวร์ที่สำคัญ เมื่อรัฐเลือกใช้ซอฟต์แวร์ใด เอกชนย่อมต้องเลือกใช้ระบบที่เหมือนกัน เพื่อความคล่องตัวในการทำงาน ไม่ต้องเสียเวลาแปลงไฟล์กันไปมา
รอแรงขับจากหน่วยงานรัฐ
กระทั่ง อาจก่อปัญหาให้อ่านไฟล์กันไม่ได้ ซึ่งเฉพาะปี 2548 ทั้งหน่วยงานรัฐ และเอกชน มีค่าใช้จ่ายซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์และบริการรวมกันเกือบ 5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหน่วยงานรัฐกว่า 7,100 ล้านบาท เอกชน เฉพาะกิจการขนาดใหญ่เกือบ 4 หมื่นล้านบาท
ไม่เฉพาะไทยประเทศเดียวที่ต้อง จ่ายค่าซอฟต์แวร์ และบริการจำนวนมหาศาลต่อปี แต่ประเทศอื่นๆ ก็เผชิญสภาวะเดียวกัน ดังนั้น ซอฟต์แวร์มาตรฐานเปิดจึงเป็นทางเลือกที่หลายประเทศให้ความสนใจ โดยรัฐบาลของประเทศต่างๆ ได้กำหนดนโยบายเป็นทางการใช้เทคโนโลยีระบบเปิดและไฟล์เอกสารแบบเปิด เช่น มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่กำหนดให้ใช้ซอฟต์แวร์แอพพลิเคชั่นออฟฟิศ ต้องรับกับมาตรฐานระบบเปิด
ภายในมกราคม ปี 2550 กรมสรรพากรฝรั่งเศส ที่โอนย้ายระบบโปรแกรมออฟฟิศในพีซี 80,000 เครื่องไปใช้แอพพลิเคชั่น ออฟฟิศ ที่เป็นมาตรฐานเปิด และปีที่แล้ว กระทรวงกลาโหมของสิงคโปร์ ได้เปลี่ยนระบบการใช้ซอฟต์แวร์แบบปิดจากเดสก์ทอป 20,000 เครื่องมาใช้ซอฟต์แวร์แบบเปิด ซึ่งคาดว่า กว่า 13 ประเทศกำลังพิจารณาการใช้โอเพ่น ดอคคิวเม้นท์ ฟอร์แมต (ODF)
"การเข้าสู่ระบบเปิด จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือแลกเปลี่ยนการพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ท้ายที่สุดก็ช่วยสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ หากรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดไม่ปรับตัวให้เป็นไปตามกระแสโลก ไม่ใช้เทคโนโลยีระบบเปิดแล้ว เชื่อว่า 5-10 ปีข้างหน้า จะถูกบายพาสจากประเทศอื่นๆ ได้" นายสตีเฟ่น เบรม รองประธาน กอฟเวิร์นเม้นท์ โปรแกรม เอเชีย แปซิฟิก ไอบีเอ็ม กล่าว
เร่งไทยใช้มาตรฐานเปิด
นายเบรม กล่าวว่า ไทยต้องเร่งเข้าสู่การปรับใช้มาตรฐานเปิด (Open Standard) ซึ่งรองรับการทำงานต่างระบบ (Interoperability) และการใช้มาตรฐานเอกสารโอดีเอฟ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน โดยไม่อิง หรือผูกติดกับเทคโนโลยีของบริษัทรายหนึ่งรายใด (Independent) ทั้งยังทำให้รัฐสามารถควบคุมและเรียกใช้เอกสารโดยไม่อิงกับเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้ (Forward and Backward Competability)
สำหรับมาตรฐานโอดีเอฟ เป็นความพยายามผลักดันระดับโลกที่จะแก้ไขปัญหาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาครัฐและประชาชนที่ต้องใช้งานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ แต่มีปัญหาการเข้าถึง ค้นคืน และใช้ข้อมูลเหล่านั้น กรณีที่มีการใช้งานไฟล์เอกสารต่างโปรแกรมซอฟต์แวร์ จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มพันธมิตร "โอเพ่น ดอคคิวเม้นท์ ฟอร์แมต อะลายแอนซ์ " จาก35 องค์กรทั่วโลก ที่มีสมาชิกประกอบด้วย สมาคม เวนเดอร์ สถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐด้านไอซีทีของหลายประเทศ
หน่วยงานรัฐแรงดันระบบเปิด
หน่วยงานรัฐ จะเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงผลักดันให้ใช้มาตรฐานเปิด และไฟล์เอกสารเปิดโอดีเอฟได้ โดยกำหนดในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐว่าต้องเป็นมาตรฐานเปิดและทำงานต่าง ระบบร่วมกันได้ และบังคับใช้โอดีเอฟ ซึ่งการผลัดกันนั้น จะเป็นกระทรวงหนึ่งกระทรวงใดที่มีอิทธิพลผลักดันหน่วยงานอื่นๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้องการจัดซื้อ กระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องใช้การแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วย (เฮลธ์ เรคคอร์ด)
นอกจากนั้น กลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือเอเปค ก็สามารถร่วมมือกันพัฒนาการใช้งานโอดีเอฟได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาการระบาดไข้หวัดนก ก็อาจแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศกันได้มากและง่ายขึ้น
ด้านข้อมูลจากซีเน็ต นิวส์ ระบุว่า การผลักดันโอดีเอฟ เป็นการสร้างมาตรฐานเอกสารออฟฟิศทั้งการประมวลผลคำ (WordProcessing) การนำเสนอ (Presentation) และเอกสารคำนวณ (Spredsheet) โดยปัจจุบันกว่า 90% ของโปรแกรมเอกสารสำนักงานจะใช้ฟอร์แมตของไมโครซอฟท์
ขณะที่ไมโครซอฟท์ พยายามส่งเสริมการใช้มาตรฐานเอกสาร ที่เป็นโอเพ่น เอ็กซ์เอ็มแอล ดอคคิวเม้นท์ ฟอร์แมต โดยในโปรแกรมออฟฟิศ 2007 ที่ไมโครซอฟท์จะวางตลาดครึ่งปีหลังของปี 2550 จะใช้ไฟล์มาตรฐานโอเพ่นเอ็กซ์เอ็มแอล

สอนการติดตั้ง Windows 7

1. ทำการตั้งค่า BIOS ของ คอมพิวเตอร์ของเรา โดยทำการเปิดคอมพิวเตอร์ > จากนั้นกด ปุ่ม “Delete” บน keyboard เพื่อเข้าในหน้า Bios > จากนั้นตั้งให้ Boot จาก DVD เป็นอันดับแรก > จากนั้นทำการบันทึกค่าที่เราเปลี่ยน จากนั้นคอมพิวเตอร์จะ Restart
หมายเหตุ : สำหรับ Notebook บางรุ่นอาจจะให้กด F2 , F10 แล้วแต่ยี่ห้อนะครับ
วิธีการเข้า BIOS : การเข้าไบออสคอมพิวเตอร์แต่ละรุ่น
Note : แต่ถ้าเราต้องการกดใช้ Boot menu เลย ทั้ง Notebook / PC ส่วนมากจะกด F12 , F10 (กดย้ำๆเลยนะครับ) เผื่อทำการเลือกเลยว่าเราจะ Boot จากอะไรในตอนเปิดคอมพิวเตอร์ โดยให้เลือกจาก DVD / USB ตามที่เราต้องการที่จะติดตั้ง Windows 7
Tab : Boot  “ภาพด้านล่างเป็นการปรับ BIOS โดยถ้าต้องการให้ ให้ Boot USB ก็ให้ทำการเลื่อน USB ขึ้นมาบนสุด แต่ถ้าจะให้ CD/DVD Boot ก็ให้เลื่อนให้ขึ้นมาบนสุด โดยการกด +/- ในการ เลื่อนขึ้นลง ”
SET BIOS COMPUTER
สำหรับ Windows 7 แนะนำให้ปรับ Mode SATA Operation : ให้เป็น AHCI 
AHCI (Advanced Host Controller Interface ) this is a hardware mechanism that allows the software to communicate with Serial ATA (SATA) devices.
โดย AHCI เป็น ฮาร์ดแวร์ที่ควบคุมกลไกการทำงาน ระหว่างซอฟต์แวร์กับ SATA
AHCI Mode HDD
2. จากนั้นจะขึ้นข้อความ Press any key to boot cd or dvd ….   ให้ทำการกด Enter 1ครั้ง  หรือรัวๆเลยก็ได้แล้วแต่ครับ
3. เริ่มเข้า Starting Windows
install Windows 7
3. เข้าสู่หน้า Windows 7 Setup
Language to install : เลือก English
Time and Currency format : เบิอก English (United States)
Keyboard or input method  : เลือก US
install Windows 7 Setup

4. ทำการกด Install Now
install Windows 7 install

5. เลือก I accept the license terms > กด Next
install Windows 7 Setup license

6. ทำการเลือก Custom (advance) ในการติดตั้ง
install Windows 7 custom

7. ในขั้นตอนตรงนี้มี 2 กรณี ให้้เลือกตามที่ผมกำลังจะอธิบายนะ
Advertisements
7.1 กรณีแรก : กรณีเพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่ และยังไม่เคยลง Windows แปลว่า Harddisk ยังไม่ได้ใช้แลยังไม่ได้แบ่ง Partition 
7.1.1 .ทำการเลือก DISK ที่เรามีโดยเอาเมาส์คลิกซ้ายเลือก และจะเห็นเมนูให้ทำการกด Drive option (advanced)
install Windows 7 drive option advance
7.1.2 ทำการกด New >
Size ให้ทำการใส่จำนวน Harddisk Drive C ที่เราอยากได้ เช่น 100 GB ก็ให้เอา 1024 คูณไป ก็จะได้ 102400 MB (ผมแนะนำให้ Drive C = 100 GB)  ส่วนที่เหลือก็ให้ทำการคลิก New อีกครั้งแล้วก็แบ่งให้หมดจะได้เป็น Drive D
install Windows 7 new disk

7.1.3  ให้ทำการเลือก Drive ที่เราแบ่งไว้ที่จะเป็น Drive : C โดยทำการคลิกบน Drive นั้นๆ และทำการกด Next
หมายเหตุ : ไม่ต้องสนใจ Disk ที่เป็น Type : System / System Reserved
install Windows 7 install windows

7.2 กรณีสอง : กรณีลง Windows มาแล้ว แต่อยากทำการลง Windows 7 ใหม่
7.2.1 ให้ทำการเลือกไปที่ Drive ที่เป็น Drive C เดิมของเราปัจจุบัน (คลิกเมาส์ซ้ายเลือก) จากนั้นกด Format (โดยให้สังเกตุก่อนการ Format ว่า Drive C ของเราคือ Drive ไหน โดยให้สังเกตุจากความจุของ Harddisk หรือเราจะเข้าไปเปลี่ยน Label ของ Drive ก่อนการ Format ก็ได้ เราก็จะได้ไม่ Format ผิด Drive)
ก่อนการ format เราต้อง Backup ข้อมูลของ Drive C ที่เราที่สำคัญของเราด้วยนะ
install Windows 7 format disk

7.2.2  จากนั้นก็เลือก Drive C ที่เรา format ไป > กด Next
หมายเหตุ : ไม่ต้องสนใจ Disk ที่เป็น Type : System
install Windows 7 install windows

8. รอทำการติดตั้ง Windows 7
install Windows 7 watting install

9. ตั้งชื่อ Type a user name : ให้เราตั้งชื่อ User ในการ Login Windows  อาทิเช่น Patompon
Type a computer name : ให้ตั้งชื่อคอมพิวเตอร์
install Windows 7 username
10. ทำการตั้ง Password ใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้ โดยถ้าไม่ใส่ ก็ให้ทำการกด Next ได้เลย
install Windows 7 password
11. ใส่ Product Key Windows 7 (สำหรับใครไม่เป็นหน้านี้ก็ให้ข้ามไปได้เลยครับ)
install Windows 7 produckey
12. สำหรับใครที่ใช้ Windows 7 แท้ ให้เลือก User Recommended Settings ในการ Update Windows 7
install Windows 7 securiry
13. ตั้งเวลาของ Windows โดยให้เลือก
Time zone : UTC+7 Bangkok
install Windows 7 settime

14. เลือก Publish Network (สำหรับใครไม่เป็นหน้านี้ก็ให้ข้ามไปได้เลยครับ)
install Windows 7 publish
15. เสร็จสิ้นการติดตั้ง Windows 7
จากการสอนด้านบน บางภาพอาจจะไม่เหมือนกันบางจุด แนะนำว่าให้อ่านว่า Microsoft ให้ทำอะไร บางภาพบางคนไม่มีก็ไม่ต้องตกใจนะครับ
จากนั้นใครที่ต้องการลง Driver เพิ่มเติมก็ให้ทำการลง Driver ต่อได้เลยครับ โดย Drivers ต่างๆก็คือตามรุ่นของ Notebook ของเรา หรือคอมพิวเตอร์ประกอบของเราตามรุ่นของเมนบอร์ด ซึ่งบางคนถ้าไม่ลง Drivers จะไม่สามารถทำการใช้ Wireless หรือ LAN และทำการ Activate License ให้ตรงกับ Windows ของเราด้วย แนะนำว่าลง drivers ให้ตรงรุ่นกับคอมพิวเตอร์ของเรานะครับ เป็นไงมั้งครับ สำหรับการลง Windows 7
3.การปิดระบบใน Windows 7
       3.1 Shutdown เป็นการปิดเครื่อง
       3.2 Switch user เป็นการล็อคออนเข้าบัญชีผู้อื่น โดยงานของบัญชีผู้ใช้คนเดิมยังคงอยู่
       3.3 Log off เป็นการปิดการทำงานของบัญชีผู้ใช้อยู๋ปัจจุบัน เพื่อล็อกออนเข้าบัญชีผู้ใช้รายอื่น
       3.4 Lock เป็นการหยุดพักการทำงานชั่วคราว
       3.5 Restart เป็นการปิดระบบ แล้วบูตเครื่องใหม่
       3.6 Sleep เป็นการหยุดพักระบบหรือระบบหลับชั่วคราว สามารถกลับมาใช้งานเมื่อมีการขยับเมาส์หรือกดปุ่มคีย์ใดๆ บนคีย์บอร์ด
       3.7 Hibernate เป็นการหยุดพักการทำงานชั่วคราว ด้วยการจัดเก็บงานที่ค้างคาอยู่ ณ ขณะนั้นไว้ในฮาร์ดดิสก์ และเครื่องก็จะถูกปิดไป ครั้นเมื่อมีการเปิดเครื่อง ระบบก็จะโหลดโปรแกรมที่ค้างคาขึ้นมา เพื่อให้เราได้ใช้งานต่อ

                                              

บทที่ 4

                  บทที่ 4ประเภทของโปรแกรมระบบปฏิบัติการ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ
        คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบ คอมพิวเตอร์ จัดการอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก การรับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระ การแสดงผลบนจอภาพ การนำข้อมูลออกไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการประสานงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซอฟต์แวร์ระบบจึงหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซอฟต์แวร์ระบบที่รู้จักกันดี คือ ระบบปฏิบัติการ(operating sytem) เช่น เอ็มเอสดอส ยูนิกซ์ โอเอสทู วินโดวส์ ลินุกซ์ เป็นต้น

2.ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ ( User Interface )

      การสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างที่เราต้องการ ผู้ใช้จะต้องป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งต่าง ๆ ให้กับคอมพิวเตอร์เสียก่อน โดยผ่านส่วนที่ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้งาน หรือเรียกว่า ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ ( user interface ) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

3.ประเภทคอมมานด์ไลน์ (Command Line )
        เป็นส่วนประสานงานกับผู้ใช้ที่อนุญาตให้ป้อนรูปแบบคำสั่งที่เป็นตัวหนังสือ (text ) สั่งการลงไปด้วยตนเองเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการทีละบรรทัดคำสั่งหรือ คอมมานด์ไลน์ (command line )

4.ประเภทกราฟิก (GUI Graphical User Interface )
     การใช้งานแบบคอมมานด์ไลน์ที่ต้องป้อนข้อมูลชุดคำสั่งทีละบรรทัดนั้น ทำให้เกิดความไม่สะดวกและยุ่งยากกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากพอสมควร โดยเฉพาะกับคนผู้ที่ไม่ชำนาญการหรือไม่สามารถจดจำรูปแบบของคำสั่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาระบบคำสั่งงานคอมพิวเตอร์แบบใหม่โดยปรับมาใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ในการสั่งงานมากยิ่งขึ้น บางครั้งนิยมเรียกระบบนี้ว่า กิวอี้ (GUI Graphical User Interface ) ดังที่จะเห็นได้ในระบบปฏิบัติการ Windows ที่ไดรับความนิยมอย่างแพร่หลายนั่นเองรูปแบบของกิวอี้นี้ ผู้ใช้อาจจะไม่จำเป็นต้องจดจำรูปแบบคำสั่งเพื่อใช้งานให้ยุ่งยากเหมือนกับแบบคอมมานด์ไลน์ก็สามารถใช้งานได้แล้ว โดยเพียงแค่รายการคำสั่งภาพที่ปรากฏบนจอนั้นผ่านอุปกรณ์บางอย่าง เช่น เมาส์หรือคีย์บอร์ด เป็นต้น

5.ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)
       เป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแล ควบคุม ระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดี มีดังต่อไปนี้
       1. MS DOS
       2. Linux
       3. Windows
6.ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย ( Network OS )
       ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย ( network OS ) เป็นระบบปฏิบัติการที่มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้หลาย ๆ คน ( multi - user ) นิยมใช้สำหรับงานให้บริการและประมวลผลข้อมูลสำหรับเครือข่ายโดยเฉพาะ มักพบเห็นได้กับการนำไปใช้ในองค์กรธุรกิจทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเหล่านี้เรียกว่า เครื่อง server ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องแม่ข่ายที่ให้บริการข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้นั่นเอง     
       Windows Server    
       OS/2 Warp Server    
       Solaris

7.CISC (Complex Instruction Set Computer)
การใช้หน่วยความจำสถาปัตยากรรมแบบ CISC จะมีชุดคำสั่งมากมายหลายคำสั่งที่ซับซ้อนและยุ่งยาก   แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า  ทุกชุดคำสั่งจะมีการ FIX CODE คือ ถ้ามีการใช้ชุดคำสั่งที่มีความซับซ้อนมากก็จะใช้จำนวนบิตมาก  แต่ถ้าใช้งานชุดคำสั่งที่มีความซับซ้อนน้อยก็จะใช้จำนวนบิตน้อยเช่นกัน ในการเก็บชุดคำสั่งของ CISC นั้นจะเก็บเท่ากับจำนวนจริงของการใช้งาน จึงประหยัดเนื้อที่ในหน่วยความจำแต่เนื่องจากการเก็บชุดของคำสั่งนั้น เก็บเฉพาะการใช้งานจริง ซึ่งจะใช้งานหน่วยความจำน้อย  แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน แต่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ช้าลง  เพราะต้องเสียเวลาการถอดรหัสอันยุ่งยากของการเข้ารหัสที่มีขนาดไม่เท่ากัน
ประสิทธิภาพ
       1.เนื่องจาก CISC มีชุดของคำสั่งที่ซับซ้อนมากกว่า RISC และในคำสั่งพิเศษที่มีอยู่ใน  CISC นั้น (หรือคำสั่งยากๆ)  เช่น การแก้สมการในการทำงานหนึ่งคำสั่งของ CISC อาจใช้เวลา (สัญญาณนาฬิกา) มากกว่าการนำเอาคำสั่งที่มีอยู่ใน RISC หลายๆคำสั่งมารวมกันเสียอีก
        2.ประสิทธิภาพอาจลดลงเนื่องจากเสียเวลาในการถอดรหัส เพราะชุดคำสั่งของ CISC ไม่แน่นอน มีทั้งสั้นและยาว อีกทั้งวงจรมีความสลับซับซ้อนมาก และใช้วงรอบสัญญาณนาฬิกานาน จึงทำให้เสียค่าใช่จ่ายสูง และใช้เวลานานกว่าในการประมวลผล
การสนับสนุนของคอมไพเลอร์
ใน CISC มีชุคำสั่งที่ซับซ้อนซึ่งติดมากับซีพียูอยู่แล้ว   แต่เมื่อมาทำการเขียนโปรแกรมแล้วผ่านตัวคอมไพเลอร์  หรือ ตัวแปลจากโปรแกรมเป็นภาษาเครื่อง  จะพบว่าคำสั่งยากๆ ที่มีอยู่ในซีพียูนั้น ตัวคอมไพเลอร์ กลับแปลงให้อยู่ในรูปของคำสั่งง่ายๆ  หรือกล่าวคือ  วอฟต์แวร์ไม่สนับสนุนกับฮาร์ดแวร์  ซึ่งในซีพียูหรือฮาร์ดแวร์นั้นมีการรองรับการทำงานของชุดคำสั่งนี้  แต่ตัวซอฟต์แวร์ไม่ได้มีการใช้คุณสมบัติจากชุดของคำสั่งที่ติดมากับตัวซีพียู แต่อย่างใด   ดังนั้น   ชุดคำสั่งที่บรรจุเอาคำสั่งที่ซับซ้อนไว้ใน  CISC  นั้น จะไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก  ถ้าหากว่าคอมไพเลอร์นั้นไม่รองรับ  และยิ่งไปกว่านั้นตัวคอมไพเลอร์บางตัว  ยังมีชุดคำสั่งที่ยากๆอยู่ในตัวแล้ว  แต่ไม่ได้นำมาใช้งานใน CISC นี้เลย

8.Reduced Instruction Set Computer (RISC)
       เป็นไมโครโพรเซสเซอร์ชนิดหนึ่งที่มีชุดคำสั่งจำนวนไม่มากนัก ตรงข้ามกับ CISC (Complex Instruction Set Computer) คอมพิวเตอร์แบบ RISC สามารถกระทำการตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็วมากเพราะคำสั่งจะสั้น นอกจากนั้นชิพแบบ RISC ยังผลิตได้ง่ายกว่าอีกด้วย (เนื่องจากใช้จำนวนทรานซิสเตอร์น้อยกว่า) ตัวอย่างชิพประเภทนี้ได้แก่ ARM, DEC Alpha, PA-RISC, SPARC, MIPS, และ PowerPC

RISC เป็นสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในอนาคต ทั้งนี้เพราะการใช้สถาปัตยกรรมแบบนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้น ปกติ หากพิจารณาจำนวนบิตที่เท่ากันระหว่างสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์แบบ CISC กับ RISC แล้ว จะพบว่าคอมพิวเตอร์แบบ RISC จะเร็วกว่าแบบ CISC ประมาณ 3 เท่า หลักการอย่างง่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ RISC คือ ออกแบบให้ซีพียู (CPU) ทำงานในวงรอบสัญญาณนาฬิกา (Cycle) ที่แน่นอน โดยพยายามลดจำนวนคำสั่งลงให้เหลือเป็นคำสั่งพื้นฐานมากที่สุด แล้วใช้หลักการไปป์ไลน์ (pipeline) คือ การทำงานแบบคู่ขนานชนิดเหลื่อมกัน (overlap) ปกติแล้วการทำงานใน 1 ชุดคำสั่งจะใช้เวลามากกว่า 1 วงรอบสัญญาณนาฬิกา (cycle) หากแต่การทำคำสั่งเหล่านั้นให้มีการทำงานในลักษณะเป็นแถว (pipe) และขนานกันด้วย จึงทำให้ได้ค่าเฉลี่ยโดยรวมของเวลาเป็นคำสั่งละหนึ่งวงรอบสัญญาณนาฬิกา (cycle)
ตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบ RISC ได้แก่ mips รุ่น R 2000 ได้ออกแบบชุดคำสั่งไว้ชัดเจนว่ามีการทำงานแบบ 5 ขั้นตอน นั่นคือเป็นการทำงานแบบขนานถึง 5 ระดับด้วยกัน

9.ระบบปฏิบัติการ DOS
ระบบปฏิบัติการดอส
(DOS : Disk Operating System)
       เริ่มมีใช้ครั้งแรกบนเครื่อง IBM PC ประมาณปี ค.ศ. 1981 เรียกว่าโปรแกรม PC-DOS ต่อมาบริษัทไมโครซอฟต์ได้สร้าง MS-DOS สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่รุ่น Versions 1.0 2.0 3.0 3.30 4.0 5.0 6.0 และ 6.22 ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ MS-DOS อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะไมโครคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าๆ ที่มีทรัพยากรของระบบน้อย

       การใช้คำสั่งดอส โดยการพิมพ์คำสั่งที่เครื่องหมายพร้อมรับคำสั่ง ในลักษณะ Command Line ซึ่ง DOS ติดต่อกับผู้ใช้ด้วยการพิมพ์คำสั่ง ไม่มีภาพกราฟิกให้ใช้ เรียกว่าทำงานในโหมดตัวอักษร Text Mode

ข้อเสีย คือ ติดต่อกับผู้ใช้ไม่สะดวก เพราะผู้ใช้ต้องจำ และพิมพ์คำสั่งให้ถูกต้องโปรแกรมจึงจะทำงาน ดังนั้นประมาณปี ค.ศ. 1985 บริษัทไมโครซอฟต์ได้พัฒนา Microsoft Windows Version 1.0 และเรื่อยมาจนถึง Version 3.11 ในปีค.ศ. 1990 ซอฟต์แวร์ดังกล่าว ทำงานแบบกราฟิกเรียกว่า Graphic User Interface (GUI) ทำหน้าที่แทนดอส ทำให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้อย่างมาก คุณสมบัติเด่นของ Microsoft Windows 3.11 คือทำงานในกราฟิกโหมด เป็น Multi-Tasking และ Generic แต่ยังคงทำงานในลักษณะ Single-User ยังคงต้องอาศัยระบบปฏิบัติการดอส ทำการบูทเครื่องเพื่อเริ่มต้นระบบก่อน
10.ระบบปฏิบัติการ WINDOWS XP
MICROSOFT WINDOWS EXPERIENCE


       เริ่มวางตลาดในปี ค.ศ. 2001 โดยคำว่า XP ย่อมาจาก experience แปลว่ามีประสบการณ์ ทุกๆ 2 ปี บริษัทผู้ผลิตจะวางตลาดวินโดวส์รุ่นใหม่ๆ โดยได้ใส่เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นข้อด้อยของรุ่นเก่า Windows XP มีจุดเด่นและความสามารถมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบใช้งานที่ดูสวยงาม และง่ายกว่าวินโดวส์รุ่นเก่าๆ มีระบบช่วยเหลือในการปรับแต่งมากมาย เหมาะสำหรับนักคอมพิวเตอร์มือใหม่ และผู้ใช้งานทั่วไปอย่างยิ่ง

       Windows XP มีให้เลือกใช้สองรุ่นคือ Windows XP Home Edition ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใช้งานตามบ้าน ที่ไม่เชื่อมต่อกับเครือข่าย และอีกรุ่นคือ Windows Xp Professional Edition ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานในองค์กรตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายได้ดี คนที่ใช้วินโดวส์เวอร์ชั่น XP จะต้องใช้เครื่องที่มีทรัพยากรมาก เช่น ซีพียู เพนเทียม 300 MHz ขึ้นไป แรมไม่ต่ำกว่า 128 MB ฮาร์ดดิสก์เหลือพื้นที่ว่างมากกว่า 1.5 GB เป็นต้น
11.ระบบปฏิบัติการ MAC
        เป็นระบบ ปฏิบัติการของเครื่องแมคอินทอช เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการทำงานแบบ GUI ในปี ค.ศ. 1984 ของบริษัท Apple ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นระบบปฏิบัติการ Mac OS โดยเวอร์ชันล่าสุดมีชื่อเรียกว่า Mac OS X เหมาะสมกับคอมพิวเตอร์ที่ผลิตโดยบริษัท Apple และมีความสามารถในการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน (Multitasking) เหมาะกับงานในด้านเดสก์ทอปพับลิชชิ่ง (Desktop Publishing)

12.ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
       เป็นระบบปฏิบัติการที่เคยพัฒนาในห้องแล็บ Bellสร้างขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์   และเมนเฟรม   ใช้ในการควบคุมการทำงานของศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมลูกข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงเป็นจำนวนมาก   ดังนั้นยูนิกซ์    จึงมักใช้ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่    และมีการเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกลต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถนำยูนิกซ์มาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ คาดว่ายูนิกซ์จะเป็นที่นิยมต่อไป

13.ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์
                                                 
       เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง  ในการบริหารระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  มีลักษณะคล้ายการจำลองการทำงาน  มาจากยูนิกซ์ แต่จะมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากกว่า  เป็นระบบปฏิบัติการ ประเภทแจกฟรี (Open Source) ผู้นำไปใช้งาน สามารถที่จะพัฒนาและปรับปรุงในส่วนที่เกิดปัญหาระหว่างใช้งานได้ทันที อีกทั้งยังสามารถปรับให้เข้ากับฮาร์ดแวร์ที่ใช้เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพของระบบมากที่สุด และยังมีการเพิ่มสมรรถนะ (Update) อยู่ตลอดเวลา
14.ระบบปฏิบัติการมือถือ os คืออะไร?
       ระบบปฏิบัติการมือถือ (Mobile operating system)  (โอเอส = OS) คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาให้เป็นตัวกลางจัดสรรระบบนิเวศระหว่างผู้ใช้กับอุปกรณ์ชิ้นส่วนภายในเครื่องหรือฮาร์ดแวร์ ให้ซอฟท์แวร์ต่างๆที่เราติดตั้งสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ผู้ออกแบบระบบต้องการ ปัจจุบันระบบปฏิบัติการมือถือที่เป็นที่นิยมประกอบด้วย
1. iOS   เจ้าของคือบริษัทแอปเปิ้ล ที่ใช้ในมือถือไอโฟน
2. Android   เจ้าของคือ กลูเกิล ที่ใช้ในมือถือทั่วไป (ได้รับความนิยมสูงสุด)
3. Window Phone เจ้าของไมโครซอฟท์















บทที่ 1

บทที่ 1 คอมพิวเตอร์ 
1. คอมพิวเตอร์ คือ
  คอมพิวเตอร์ (computer) เข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบัน แทบทุกวงการ ล้วนนำคอมพิวเตอร์เข้า ไปเกี่ยวข้องกับการใช้งาน จนกล่าวได้ว่า คอมพิวเตอร์เป็นปัจจัย ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อ การดำเนินชีวิตและ การทำงานใน ชีวิตประจำวัน ฉะนั้น การเรียนรู้เพื่อทำ ความรู้จัก กับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะ ทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร
ประเภทของคอมพิวเตอร์

จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้
       ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น
       เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง
       มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
       ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC)

2. องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์
       1.ฮาร์ดแวร์
          หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม)7 เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน ดังภาพ
       2. ซอฟท์แวร์
          หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่ง ที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อ สั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่อง คอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เรา ก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น
            2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับระบบ (System Software)
          คือ ชุดของคำสั่งที่เขียนไว้เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะทำงานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการ ทำงาน ของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Nortons Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน
            2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
          คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่นำมาให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บ ข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
                 2.1.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บางที่เรียกว่า Users Program เช่น โปรแกรมการทำบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทำสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ โปรแกรม ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฏเกณฑ์ของ แต่ละหน่วยงาน ที่ใช้ ซึ่งสามารถ ดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียน ขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา
                 2.1.2 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดย ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำ เป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้อง เวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานเรา ขาดบุคลากร ที่มีความชำนาญ เป็นพิเศษ ในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวก และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรม สำเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ต่างๆ เป็นต้น

3.บุคลากร (people ware)
          หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อ ให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
            3.1 ผู้จัดการระบบ (System Manager)
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
            3.2 นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้ที่เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
            3.3 โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของ ผู้ใช้ โดยเขียนตาม แผนผังที่นักวิเคราะห์ ระบบได้เขียนไว้
            3.4 ผู้ใช้ (User)
 คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรม ที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการเนื่องจากเป็นผู้กำหนดโปรแกรมและ ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็น ตัวแปรสำคัญในอันที่จะทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากคำสั่งและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ได้รับจากการ กำหนดของมนุษย์ (Peopleware) ทั้งสิ้น

       4. ข้อมูล (data)
          ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้องป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับ โปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียน ขึ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ข้อมูลที่สามารถนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ มี 5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data)
      5. บุคลากร (peopleware)
        หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
         5.1. ผู้จัดการระบบ (System Manager)
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
         5.2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู่เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
         5.3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้
         5.4. ผู้ใช้ (User)
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ
เนื่องจากเป็นผู้กำหนดโปรแกรมและใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็นตัวแปรสำคัญในอันที่จะทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากคำสั่งและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลได้รับจากการกำหนดของมนุษย์ (Peopleware) ทั้งสิ้น
6. คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์
       1. หน่วยเก็บ (Storage)
         หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้าง และเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย
      
2. ความเร็ว (Speed)
         หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทาง โครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน
       3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
         หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง อย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูล ก่อนการประมวลผลเท่านั้น
       4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)
        หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุดในการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้อง กับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูล ที่มนุษย์กำหนด ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูล ที่ไม่ถูกต้องให้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อม ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน5.การสื่อสารข้อมูล หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่งโดยผ่าน ช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับ เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การนำคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ข้างเคียงต่าง ๆ มาเชื่อมต่อถึงกันโดยใช้สายเคเบิ้ลเป็นสื่อกลางในการ
แลกเปลี่ยนชุดข้อมูล ชุดคำสั่ง และข่าวสารต่าง ๆ ระหว่างคอมพิวเตอร์ กับ คอมพิวเตอร์และระหว่างคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ข้างเคียง

การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสำคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกันได้

สิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น คือ การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกัน และการเชื่อมต่อหรือการสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนำข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนำข้อมูลไปใช้ประมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบ่งกันใช้ฮาร์ดดิสก์ แบ่งกันใช้โปรแกรม และแบ่งกันใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุกคนได้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่าย
จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากขึ้นจากเดิม

สื่อเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก ( Magnetic Disk device )
       สื่อเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก ( Magnetic Disk device ) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลประเภทที่ใช้งานเป็นลักษณะของจานบันทึก ( disk ) ซึ่งมีหลายประเภท ดังนี้

ฟล็อปปี้ดิสก์ ( Floppy disks ) สื่อเก็บบันทึกข้อมูลที่ได้รับความนิยมและใช้งานอย่างแพร่หลาย สามารถหาซื้อใช้ได้ตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดิสเก็ตต์ ( diskette ) หรือแผ่นดิสก์ การเก็บข้อมูลจะมีจานบันทึก ซึ่งเป็นวัสดุอ่อนจำพวกพลาสติกที่เคลือบสารแม่เหล็กอยู่ด้านใน และห่อหุ้มด้วยกรอบพลาสติกแข็งอีกชั้นหนึ่งแผ่นดิสก์ในอดีตจะมีขนาด จานบันทึกที่ใหญ่มากถึง 5.25 นิ้ว ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมและเลิกใช้งานแล้ว จะเห็นได้เฉพาะขนาด 3.5 นิ้วแทน ซึ่งมีขนาดเล็กและพกพาสะดวกกว่า โครงสร้างการทำงานของแผ่นดิสก์จะต้องมีการจัดข้อมูลโดยการ ฟอร์แมต ( format ) เมื่อใช้ครั้งแรกก่อนทุกครั้ง (ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตมักจะมีการฟอร์แมตแผ่นมาตั้งแต่อยู่ในกระบวนการผลิต แล้ว (ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำการฟอร์แมตก่อนใช้งานซ้ำอีก)




       แผ่นดิสก์ในอดีตจะมีขนาด จานบันทึกที่ใหญ่มากถึง 5.25 นิ้ว ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมและเลิกใช้งานแล้ว จะเห็นได้เฉพาะขนาด 3.5 นิ้วแทน ซึ่งมีขนาดเล็กและพกพาสะดวกกว่า โครงสร้างการทำงานของแผ่นดิสก์จะต้องมีการจัดข้อมูลโดยการ ฟอร์แมต ( format ) เมื่อใช้ครั้งแรกก่อนทุกครั้ง (ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตมักจะมีการฟอร์แมตแผ่นมาตั้งแต่อยู่ในกระบวนการผลิต แล้ว (ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทำการฟอร์แมตก่อนใช้งานซ้ำอีก)

  แทรค ( Track ) เป็นการแบ่ง พื้นที่เก็บข้อมูลออกเป็นส่วนตามแนววงกลมรอบแผ่นจานแม่เหล็ก จะมีมากหรือน้อยวงก็ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของจานแม่เหล็กนั้น ซึ่งแผ่นแต่ละชนิดจะมีความหนาแน่นของสารแม่เหล็กแตกต่างกันทำให้ปริมาณความ จุข้อมูลที่จะจัดเก็บต่างกันตามไปด้วย
  เซกเตอร์ ( Sector ) เป็นการ แบ่งแทรคออกเป็นส่วน ๆ สำหรับเก็บข้อมูล ซึ่งแต่ละเซกเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากถึง 512 ไบต์ หากเปรียบเทียบแผ่นจานแม่เหล็กเป็นคอนโดมิเนียมหลังหนึ่งแล้ว เซกเตอร์ก็เปรียบได้เหมือนกับห้องพักต่าง ๆ ที่แบ่งให้คนอยู่กันเป็นห้อง ๆ นั่นเอง แผ่นดิสเก็ตต์ที่พบทั่วไปในปัจจุบันจะเป็นแบบความจุสูงหรือ high density สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1.44 MB ซึ่งเราอาจคำนวณหาความจุข้อมูลของแผ่นดิสก์ได้โดยการเอาจำนวนด้านของแผ่นจาน แม่เหล็ก ( side ) จำนวนของแทรค ( track ) จำนวนของเซคเตอร์ในแต่ละแทรค ( sector/track ) และความจุข้อมูลต่อ 1 เซกเตอร์ ( byte/sector ) ว่ามีค่าเป็นเท่าไหร่ แล้วเอาตัวเลขทั้งหมดมาคูณกันก็จะได้ปริมาณความจุข้อมูลในแผ่นชนิดนั้น ๆ เมื่อเก็บหรือบันทึกข้อมูลแล้วสามารถที่จะป้องกันการเขียนทับใหม่ หรือป้องกันการลบข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น โดยเลือกใช้ปุ่มเปิด – ปิดการบันทึกที่อยู่ข้าง ๆ แผ่นได้ ซึ่งหากเลื่อนขึ้น (เปิดช่องทะลุ) จะหมายถึงการป้องกัน ( write-protected ) แต่หากเลื่อนปุ่มลงจะหมายถึง ไม่ต้องป้องกันการเขียนทับข้อมูล ( not write-protected ) นั่นเอง
ปุ่มป้องกันการบันทึก  

       แผ่นดิสเก็ตต์จะมีอายุการใช้งานที่มากสุดถึง 7 ปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานและการบำรุงรักษาต่าง ๆ ด้วย ซึ่งข้อแนะนำเพื่อให้แผ่นดิสเก็ตต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นคือ ควรเก็บรักษาแผ่นดิสเก็ตต์ให้มีอายุยาวนานขึ้นคือ ควรเก็บรักษาแผ่นไว้ในอุณหภูมิที่พอเหมาะไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป ตลอดจนหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแผ่นดิสก์โดยตรง รวมถึงการเก็บรักษาแผ่นดิสเก็ตต์ไว้ในอุปกรณ์จัดเก็บที่ปลอดภัย เช่น กล่องหรือถาดเก็บเฉพาะ เป็นต้น  
 

สื่อเก็บข้อมูลแสง ( Optical Storage Device )
เป็นสื่อเก็บข้อมูลสำรองที่ได้รับความนิยมมากใน ปัจจุบัน ซึ่งใช้หลักการทำงานของแสงเข้ามาช่วย การจัดเก็บข้อมูลจะคล้ายกับแผ่นจานแม่เหล็ก แต่ต่างกันที่การแบ่งวงของแทรคจะแบ่งเป็นลักษณะคล้ายรูปก้นหอยและเริ่มเก็บ บันทึกข้อมูลจากส่วนด้านในออกมาด้านนอก และแบ่งส่วนย่อยของแทรคออกเป็นเซกเตอร์เช่นเดียวกันกับแผ่นจานแม่เหล็ก

   การอ่านข้อมูลจะอาศัยแสงเลเซอร์ยิงตกไปกระทบพื้นผิวของแผ่นจานซึ่งจะมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือ( pit ) ซึ่งเป็นมีลักษณะเป็นหลุมไม่สามารถสะท้อนแสงได้กันแลนด์( land ) หรือส่วนที่เป็นผิวเรียบซึ่งสามารถสะท้อนแสงกลับออกได้ เมื่อหัวยิงแสงเลเซอร์ตกลงไปบนส่วนของพิตจึงไม่สามารถสะท้อนกลับได้(ค่ารหัส เป็น0) ถ้าตกลงส่วนของแลนด์ซึ่งเป็นผิวเรียบจะสามารถสะท้อนกลับออกมาได้(ค่ารหัส เป็น 1) นั่นเอง หลักการนี้จะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจข้อมูลในรหัสค่าดิจิตอล 0 กับ 1 ได้โดยใช้หลักการอ่านส่วนที่เป็นหลุมทึบแสงและส่วนสะท้อนแสงได้ออกมา ปัจจุบันมีสื่อเก็บข้อมูลแบบแสงที่รู้จักกันอย่างดี ดังนี้
CD (Compact Disc) เป็น สื่อเก็บข้อมูลด้วยแสงแบบแรกที่ไดรับความนิยมอย่างแพร่หลายและปัจจุบันก็ยัง เป็นที่นิยมอยู่ เนื่องจากมีราคาถูกลงกว่าสมัยก่อนมาก ซึ่งแยกออกได้ดังนี้ 
  CD-ROM (Compact disc read only memory) เป็น สื่อเก็บบันทึกข้อมูลที่นิยมใช้สำหรับการเก็บบันทึกข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมประยุกต์เพื่อใช้สำหรับติดตั้งในคอมพิวเตอร์รวม ถึงเก็บผลงานไฟล์มัลติมีเดีย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( CAI computer assisted instruction ) หรือ CD-Training ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างเดียวแต่ไม่สามารถเขียนหรือบันทึกข้อมูลซ้ำ ได้ สามารถจุข้อมูลได้ถึง 650-750 MB โดยมากแล้วจะเป็นแผ่นที่ปั๊มมาจากโรงงานหรือบริษัทผู้ผลิตมาแล้ว



  

  CD-R (Compact disc recordable) พบ เห็นได้ตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไป มีราคาถูกลงอย่างมาก แผ่นแบบนี้สามารถใช้ไดรซ์เขียนแผ่น ( CD Write ) บันทึกข้อมูลได้และหากเขียนข้อมูลลงไปแล้วยังไม่เต็มแผ่นก็สามารถเขียน เพิ่มเติมได้ แต่ไม่สามารถลบข้อมูลที่เขียนไว้แล้วได้ เนื่องจากเนื้อที่บนแผ่นแต่ละจุดจะเขียนข้อมูลได้ครั้งเดียว เขียนแล้วเขียนเลยจะลบทิ้งอีกไม่ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบันทึกไฟล์ข้อมูลเพื่อเก็บรักษาทั่วไป เช่น ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล เพลง mp3 หรือไฟล์งานข้อมูลซึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
CD-RW (Compact disc rewritable) แผ่น ชนิดนี้มีลักษณะหน้าตาเหมือนกับแผ่น CD-R ทุกประการแต่มีข้อดีกว่าคือ นอกจากเขียนบันทึกข้อมูลได้หลายครั้งแล้ว ยังสามารถลบข้อมูลและเขียนซ้ำใหม่ได้เรื่อย ๆ เหมือนกับการบันทึกและเขียนซ้ำของดิสเก็ตต์ อย่างไรก็ตามแผ่น CD-RW ขณะนี้ยังมีราคาสูงกว่า CD-R อยู่พอสมควร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบันทึกข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและเก็บ ข้อมูลไว้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ถาวร ซึ่งจะช่วยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก เพราะสามารถลบทิ้งแล้วเขียนใหม่อีกได้ถึงกว่าพันครั้ง
หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory)
       หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory) เป็นหน่วยความจำประเภทรอมที่เรียกว่า อีอีพร็อม (Electrically Erasable Programnable Read Only Memory : EEPROM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำข้อดีของรอม และแรม มารวมกัน ทำให้หน่วยความจำชนิดนี้สามารถเก็บข้อมูล ในเหมือนฮาร์ดดิสก์ คือ สามารถเขียนและลบข้อมูลได้ตาม ต้องการ และเก็บข้อมูลได้ แม้ไ่ม่ได้ต่อเข้ากับ เครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก มักใช้เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ในอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล เช่น กล้องดิจิทัล กล้องวีดิทัศน์ ที่เก็บข้อมูล แบบดิจิทัล




       เป็นที่ทราบกันดีว่า หน่วยความจำแบบแฟลชที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ช่วยให้การทำงานต่าง ๆ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีการโอนถ่ายข้อมูลที่ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น กระแสความนิยมในสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้จึงเพิ่มมากขึ้นทุกที แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สื่อประเภทนี้แม้จะใช้ โอนถ่ายข้อมูลอยู่เสมอ ๆ แต่กลับด้อยในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยมากเกินไป

       การดึงข้อมูลจากหน่วยความจำแบบแฟลชนั้น ผู้ดูแลระบบจะไม่สามารถควบคุมการโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง
สื่อ ทั้งสองชนิด ซึ่งได้แก่ ฮาร์ดดิสก์และหน่วยความจำแบบแฟลชได้เลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากอีเมล ซึ่งผู้ดูแล ระบบสามารถควบคุมได้โดยตรง รวมถึงการทำงานบนเน็ตเวิร์กชนิดอื่น ๆ ทำให้ขณะนี้เกิดความวิตกกังวลว่า สื่อเก็บข้อมูลชนิดนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของระบบเน็ตเวิร์กองค์กรไปในที่สุด

        อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบแฟลชที่สามารถถอดและเคลื่อนย้ายได้นั้น กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วง 2-3 ปีที่ผานมา เพราะมันสามารถเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เอาไว้ได้ เราจึงใช้อุปกรณ์ชนิดนี้เปรียบเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ตัวน้อย ๆ กันเลยทีเดียว การเชื่อมต่อก็ง่ายมาก เพียงเสียบสาย USB ผ่านทางพอร์ต USB ก็สามารถดึงข้อมูลกันได้แล้ว
7. อุปกรณ์ต่อพ่วง 
       หมายถึง  อุปกรณ์ต่างๆที่สามารถต่อเข้ากับอุปกรณ์ของหน่วยประมวลผลกลางและประกอบเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้

อุปกรณ์ต่อพ่วงแต่ละชนิดมีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
       1.แผงพิมพ์อักขระ
เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลจากการกดแป้นจากนั้นก็เปลี่ยนรหัสแล้วส่งไปยังประมวลผลกลาง  แป้นพิมพ์โดยทั่วไปมี  50  แป้นขึ้นไปแบ่งเป็นแป้นตัวเลขและแป้นอักขระ
       2.เมาส์
เป็นอุปกรณ์ประเภทตัวชี้ที่ได้รับข้อมูลจากการกดปุ่มข้างบนเมาส์ ทำหน้าที่คลิกปุ่มคำสั่งที่ต้องการ  แบ่งเป็น 2 ประเภท
         2.เมาส์ทางกล
         2.เมาส์แบบใช้แสง
       3.อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค  
เป็นอุปกรณ์รับเข้าที่สามารถติดกับตัวโน๊ตบุ๊ค สะดวกในการพกพา  ซึ่งมี 3ประเภท
         3.1ลูกกลมควบคุม
         3.2แท่งชี้ควบคุม
         3.3แผ่นรองสัมผัส
       4.ก้านควบคุม เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนหน้าจอ มีลักษณะเป็นก้านโผล่ออกมาจากกล่อง
       5.จอสัมผัส
เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลจากการสัมผัสโดยเมื่อมีการเลือกตำแหน่งที่ถูกเลือกจะแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังซอฟต์แวร์ที่แปลคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
       6.อุปกรณ์รับเข้าแบบกราดตรวจ  ที่นิยมใช้มีอยู่ 3ประเภท
         6.1 เครื่องอ่านรหัสแท่ง อุปกรณ์รับเข้าที่ทำงานโดยหลักการของการสะท้อนแสง  เครื่องจะส่องลำเสียงไปยังรหัสบนสินค้าจากนั้นจะเปลี่ยนรหัสเป็นสัญญาณไฟฟ้าผ่านสายที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
         6.2 เครื่องกราดตรวจหรือสแกนเนอร์ เป็นอุปกรณ์รับเข้าประเภทรูปภาพและข้อความที่อยู่บนสิ่งพิมพ์โดยใช้หลักสะท้อนแสง  ข้อมูลจะถูกแปลงในแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจและเก็บไว้ในหน่วยความจำ
         6.3 กล้องดิจิทัล ทำงานเหมือนกล้องถ่ายรูปทั่วไปแต่ไม่ต้องมีฟิล์มและมีคอมแพ็กแฟลช
       7.เว็บแคม
เป็นอุปกรณ์รับเข้าประเภทกล้องวีดีโอที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวผ่านเว็บไซค์แล้วปรากฎบนหน้าจอได้
       8.จอภาพ มี2 ชนิด
         1.จอภาพแบบซีอาร์ที มีลักษณะเหมือนจอโทรทัศน์  ทำงานโดยเทคโนโลยีหลอดรังสีอิเล็กตรอน  โดยยิงอิเล็กตรอนไปยังผิวด้านในจอเมื่อลำแสงวิ่งมาชนจะเกิดแสงสว่างขึ้น
         2.จอภาพแบบแอลซีดี   ทำงานโดยอาศัยการเบี่ยงเบนแสงตามการควบคุมทิศทางของโพราไลเซชั่นของวัตถุที่กั้นระหว่างแหล่งกำเนิดแสงและแผ่นเคลือบสารเรืองแสง  ป้องแรงดันเข้าไปยังแผ่นเพลตเมื่อได้รับแรงดันไฟฟ้า  มีผลให้แสดงจากแหล่งกำเนิดสามารถผ่านทะลุกระทบกับสารเรืองแสงจนเกิดแสงสีที่ต้องการ
       9. ลำโพง
เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลเป็นเสียงโดยใช้งานคู่กับการด์เสียงซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นอะนาล็อกแล้วส่งไปยังลำโพง
       10.หูฟัง
เป็นอุปกรณ์ส่งออกใช้ฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์  ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณจากไฟฟ้าเป็นเสียง  มีทั้งชนิดไร้สายและมีสาย บางรุ่นก็จะมีไมโครโฟนสำหรับสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ตอีกด้วย      
       11. เครื่องพิมพ์
เป็นอุปกรณ์ส่งออกที่แสดงผลงานพิมพ์ลงบนกระดาษ แบบเครื่องพิมพ์
         11.1 เครื่องพิมพ์แบบจุด
         11.2 เครื่องพิมพ์เลเซอร์
         11.3 เครื่องพิมพ์แบบฉีดหมึก
         11.4 พล็อตเคอร์
       12. โมเด็ม
เป็นการแปลงสัญญาณเพื่อให้ติดต่อกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้โดยเชื่อมต่อคอมเข้ากับคู่สายของโทรศัพท์   แล้วโมเด็มก็จะแปลงจากสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอะนาล็อก
       13.เคส
คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อ และขนาด ของเคสจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแบบที่นิยมกัน แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกซื้อตามความเหมาะสม ของงาน และสถานที่นั้น

       14. พาวงเวอร์ซัพพลาย
   เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ต่อพวงเยอะๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ ดีวีดีไดรฟ์ก็ควรเลือกพาวเวอร์ซัพพลายที่มีจำนวนวัตต์สูง เพื่อให้สามารถ จ่ายกระแสไฟได้เพียงพอ
       15.เมนบอร์ด
แผ่นวงจรไฟฟ้าแผ่นใหญ่ที่รวมเอาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญๆมาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุม การทำงานของ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในพีชีทั้งหมด มีลักษณะเป็นแผ่น รูปร่างสี่เหลี่ยมแผ่นที่ใหญ่ที่สุดในพีชี ที่จะรวบรวมเอาชิปและไอชี (IC = Integrated Circuit) รวมทั้ง การ์ดต่อพ่วงอื่นๆ เอาไว้ด้วยกันบนบอร์ดเพียงอันเดียวเครื่องพีชีทุกเครื่องไม่สามารถทำงาน ได้ถ้าขาดเมนบอร์ด
       16.ซีพียู
ซีพียูหรือหน่วยประมวลผลกลาง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลจากข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ
       17. การ์ดแสดงผล
     การ์ดแสดงผลใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู โดยที่การ์ดบางรุ่นสามารถประมวลผลได้ในตัวการ์ด ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการประมวลผลให้ซีพียู จึงทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นเร็วขึ้นด้วย ซึ่งตัวการ์ดแสดงผลนั้นจะมีหน่วยความจำในตัวของมันเอง ถ้าตัวการ์ดมีหน่วยความจำมาก ก็จะรับข้อมูลจากซีพียูได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีความเร็วสูงขึ้นด้วย
       18.แรม
     RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำหลักแต่ไม่ถาวร ซึ่งจะต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดในการทำงาน โดยถ้าเกิดไฟฟ้ากระพริบหรือดับ ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำจะหายไปทันที
       19. ฮาร์ดดิสก์
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือโปรแกรมต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยฮาร์ดดิสค์จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกนอก เป็นโลหะแข็ง และมีแผงวงจรสำหรับการควบคุมการทำงานประกบอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับช่องเสียบสายสัญญาณและสายไฟเลี้ยง ส่วนประกอบภายในจะถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด โดยฮาร์ดดิสค์ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก(platters) สองแผ่นหรือมากกว่ามาจัด เรียงอยู่บนแกนเดียวกันเรียก Spindle ทำให้แผ่นแม่เหล็กหมุนไปพร้อม ๆ กัน จากการขับเคลื่อนของมอเตอร์ แต่ละหน้าของแผ่นจานจะมีหัวอ่านเขียนประจำเฉพาะ โดยหัวอ่านเขียนทุกหัวจะเชื่อมติดกันคล้ายหวี สามารถเคลื่อนเข้าออกระหว่างแทร็กต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ในปัจจุบัน มีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน
       20. ฟล็อปปี้ดิสก์
     เป็นอุปกรณ์ที่กำเนิดมาก่อนยุคของพีซีเสียอีก โดยเริ่มจากที่มีขนาด 8 นิ้ว กลายมาเป็น 5.25 นิ้ว จนมาถึงปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3.5 นิ้ว ในส่วนของความจุเริ่มต้นตั้งแต่ไม่กี่ร้อยกิโลไบต์มาเป็น 1.44 เมกะไบต์ และ 2.88 เมกะไบต์ ตามลำดับ
       21.เครื่องสแกนภาพ (Scanner)
สแกนเนอร์ (Scanner) คืออุปกรณ์ซึ่งจับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพจากรูปแบบของ อนาล็อกเป็นดิจิตอล ซึ่งคอมพิวเตอร์สามารถแสดง เรียบเรียง เก็บรักษาและผลิต ออกมาได้ ภาพนั่นอาจจะเป็น รูปถ่าย ข้อความ    ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ สามารถใช้สแกนเนอร์ทำงานต่างๆ  ได้ดังนี้

8.ระบบปฏิบัติการ คือ

       ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรมควบคุมการทำงาน (ควบคุมการRun) ของโปรแกรมประยุกต์  ทำหน้าที่
โต้ตอบและเป็นสื่อกลางระหว่างโปรแกรมประยุกต์และฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ระบบ ปฏิบัติการ (Operating System :OS) เป็นซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องและอุปกรณ์  ควบคุมและสั่งการให้ Hardware สามารถทำงานได้   เช่น ทำหน้าที่ในการตรวจเช็คอุปกรณ์  Keyboard ขณะเปิดเครื่อง  ถ้าผู้ใช้ลืมเสียบสาย Keyboard ที่ port ด้านหลังของเครื่อง ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบตรวจสอบแล้วไม่พบอุปกรณ์เชื่อมต่อดังกล่าว จะมีข้อความแจ้งเตือนความผิดพลาด  Keyboard Error  นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการเชื่อมการทำงานระหว่าง User ในการใช้โปรแกรมประยุกต์ ( Application Software) ของ user กับระบบเครื่องฯ  อำนวยความสะดวกในการใช้งาน  และเพิ่มประสิทธิ์ภาพของระบบ